เส้นทางสู่การเป็นนักวางแผนการเงิน
- Chetprathan Thonglert
- Sep 23
- 4 min read
Updated: Sep 23

มีเพื่อนหลายคนที่ตั้งคำถามกับการเปลี่ยนงานของผม จากการเป็นพนักงานในบริษัทมหาชนที่ดูมีความมั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี มาเป็นเจ้านายตัวเองและมีอาชีพเป็นฟรีแลนซ์ในสายงานที่คนทั่วไปเรียกว่าเกลียดหรือน่ารำคาญเลยก็ว่าได้ ใช่แล้วครับอาชีพที่ผมทำอยู่ก็คือการเป็นที่ปรึกษาการเงิน ที่คนทั่วไปคิดว่ามันเป็นอีกชื่อหนึ่งของการขายประกันชีวิต
ก่อนอื่นผมอยากจะพาทุกคนไปรู้จักประสบการณ์ชีวิตที่ผมได้เจอ ที่ทำให้ผมตัดสินใจมาเริ่มอาชีพนี้กัน ระหว่างที่ผมทำงานอยู่ที่บริษัทเดิมนั้น ผมรู้สึกถึงความมั่นคงค่อนข้างมากและเป็นที่นับหน้าถือตาของทุกคนรอบตัว การทำงานก็อยู่ในสายอาชีพที่ผมถนัดและนั่นก็เป็นจุดที่ทำให้ผมสร้างคอมฟอร์ทโซนขึ้นมา ผมได้ใช้สิทธิพิเศษที่มีให้เฉพาะคนที่มีความมั่นคงทางการงานอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการกู้สหกรณ์ของบริษัทและสิทธิในการกู้ซื้อบ้าน ที่ผมมารู้ทีหลังว่าสิ่งที่ผมเอาไปแลกนั้นมันไม่ใช่ของฟรี แต่มันคือการการันตีว่าผมจะเป็นลูกหนี้ที่ดีและหาเงินไปจ่ายให้กับเจ้าหนี้ได้ และนั่นก็คือตอนที่ผมมารู้ตัวตอนเริ่มวางแผนการเงินครั้งแรก ตอนที่กำลังวางแผนอใช้ชีวิตอย่างที่ตนเองต้องการในเส้นทางอื่น
มันคงเป็นความมั่นคงที่ดีถ้าชีวิตของเราและเป้าหมายชีวิตของเราสามารถเป็นจริงได้ภายใต้การทำงานที่มั่นคงนั้น แต่สำหรับผมแล้ว เมื่อผมมีคำตอบชีวิตเป็นแบบอื่น ความมั่นคงที่มาพร้อมกับภาระหนี้สินก็เป็นเหมือนกรงทางการเงินที่คุมชีวิตเราไม่ให้ก้าวไปข้างหน้าได้ตามที่ฝัน แล้วถ้าผมยอมแพ้ ผมก็จะเป็นเพียงฟันเฟืองตัวเล็ก ๆ ของบริษัท แล้วอยู่แบบนั้นตลอดไปจนกว่าบริษัทจะเลิกจ้าง แต่ผมเป็นคนดื้อ ผมจึงพยายามหาทางที่จะปลดพันธะเหล่านั้นและออกมาเดินตามเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ให้ได้ มันไม่ใช่หนทางที่ง่ายเลย และมันไม่ใช่แค่แผนที่จะวางไว้ให้เสร็จลุล่วงภายในหนึ่งปี แต่ผมต้องอดทนหลายปี เพราะความมั่นคงที่มีมันกลับกลายเป็นความเฉื่อยช้าเมื่อเทียบกับพันธะที่ผมได้สร้างไว้
เมื่อผมมีเงินออมอยู่ก้อนหนึ่งและไร้ภาระ ภรรยาผมก็ได้โอกาสไปทำวิจัยที่ Seattle ประเทศสหรัฐอเมริกา ผมรู้ว่าเงินก้อนนั้นมีหน้าที่เอาไว้ให้ผมใช้จ่ายในช่วงเวลาที่กำลังหางานใหม่ในกรุงเทพ และผมก็อยากสะสมให้มันมากพอที่จะทำให้เงินก้อนนั้นมีมากพอที่จะทำให้ผมสามารถอยู่เลี้ยงลูกได้ด้วย การวางแผนการเงินครั้งที่สองของผมจึงเป็นการคำนวณค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตกับภรรยาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่มันกลับต่างจากการวางแผนครั้งแรกอยากมากที่เป็นแค่การเคลียร์หนี้และออมเงิน การใช้เงินเพื่อทางเลือกของชีวิตนั้นกลายเป็นคุณค่าที่ทำให้เราตื่นเต้น และได้สร้างประสบการณ์หนึ่งปีที่ดีที่สุดในชีวิตของเราทั้งคู่ขึ้นมาบนไทม์ไลน์ชีวิต ไทม์ไลน์ที่เรารู้ว่าวันหนึ่งมันก็ต้องจบลง
ผมคิดว่ามันคงเป็นโชคที่เราได้พบกับที่ปรึกษาการเงิน CFP ที่มีประสบการณ์ทำงานมากถึง 30 ปี ระหว่างที่เราอยู่ที่ Seattle แล้วมันก็แปลกมากที่ที่ปรึกษาการเงินกลับแก้ปัญหาการเงินโดยไม่พูดถึงเรื่องเงิน ส่วนใหญ่เราจะพูดถึงความต้องการต่าง ๆ เป้าหมายในชีวิต และคุณค่าในตัวเอง และมันทำให้ผมเห็นภาพการใช้ชีวิตมากขึ้น มากกว่าการมาคำนวณเป็นตัวเลขด้วยซ้ำไป และสิ่งที่พิเศษกว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมได้รับ แต่มันคือสิ่งที่ผมได้เห็นว่าชีวิตของที่ปรึกษาการเงินรายล้อมไปด้วยคนที่รักเขา และมันก็คงไม่แปลก เพราะทั้ง 30 ปีที่เขาได้ทำงานมา มันคือการช่วยเหลือลูกค้าให้มีชีวิตที่ดีมาจนถึงทุกวันนี้
มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ในไทยเราไม่ได้มีงานที่ปรึกษาการเงินในรูปแบบนั้น และส่วนใหญ่มันก็เป็นชื่อหนึ่งของการขายประกันจริง ๆ ผมก็คิดว่าการที่ประเทศไทยเราเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ามันไม่มีโครงสร้างให้ที่ปรึกษาการเงินสามารถเติบโตขึ้นได้ เพราะคนไทยไม่ยอมจ่ายค่าปรึกษา แต่ก็อยากได้บริการที่ปรึกษาการเงิน มันจึงมีแค่พื้นที่สำหรับตัวแทนประกันและนายหน้าการลงทุนที่ได้รายรับจากค่าคอมมิชชั่นเข้ามาเพื่อให้คุณค่าตรงนี้ และอีกเรื่องนึงคงเป็นเรื่องของการบูชาคนสำเร็จ ที่มักจะฟังและทำตามคนสำเร็จจนลืมมองตัวเองไป
คนกลุ่มนี้มักจะมีคำถามกับที่ปรึกษาการเงินว่าคุณประสบความสำเร็จทางการเงินแล้วหรือยังถึงได้มาให้คำแนะนำทางการเงินได้? แต่แท้จริงแล้วที่ปรึกษาทางการเงินไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จทางการเงินแล้วจึงมาแบ่งปัน แต่งานที่สำคัญคือการให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ลูกค้าและคอยกระตุ้นให้ลูกค้าทำหน้าที่ของตนเองตามที่ได้วางแผนไว้ ตามความสามารถและแผนที่ลูกค้าต้องการได้อย่างมั่นคง
การเริ่มอาชีพใหม่ของผมจึงมีเป้าหมายหลักในการสร้างอาชีพที่ปรึกษาการเงินในรูปแบบที่ผมเคยสัมผัสมา ให้เข้ากับประเทศไทยและการบริหารเงินของเด็กเจนเนอเรชันใหม่ ๆ ที่จะทำหน้าที่เหมือนเป็นเพื่อนคู่คิดในการใช้ชีวิตและแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่สามารถใช้เงินแก้ได้ จากประสบการณ์ที่ผมได้เจอมา ผมก็อยากส่งต่อความรู้สึกที่เราเป็นเจ้าของหรือเป็นเจ้านายของเงินทั้งที่เราไม่ต้องรวยมาก อยากที่จะพาทุกคนมาวางแผนและใช้ชีวิตอย่างที่ตนเองต้องการโดยไม่ต้องคิดมากเรื่องเงิน
ผมได้เริ่มจากคำถามว่า ถ้าเราจะต้องวางแผนการเงินโดยพูดถึงเงินให้น้อยที่สุดและพูดถึงชีวิตให้มากขึ้น ผมต้องทำมันออกมาในรูปแบบไหน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ Financial Freedom Canvas ที่ผมได้ออกแบบมา เพื่อเป็นเครื่องมือที่ใช้ข้อมูลทางการเงินที่น้อยที่สุด แต่ก็ยังสามารถทำให้เราเห็นภาพของการใช้ชีวิตบนพื้นฐานของการใช้เงินได้อย่างชัดเจน
ผมคงไม่ได้บอกว่าผมจะทำให้ทุกคนรวยและมีชีวิตตามที่ฝันได้ ผ่านการใช้ Financial Freedom Canvas แต่มันจะเป็นการใช้ชีวิตตามคุณค่าที่คุณสร้างได้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดบนไทม์ไลน์ของชีวิตคุณ และแน่นอน ถ้าคุณมีความต้องการที่มากเกินไปจนไม่มีเครื่องมือทางการเงินไหนช่วยได้ การเงินในอนาคตของคุณก็จะพังอยู่ดี แต่คุณจะเห็นได้ก่อนบนกระดาษแผ่นนี้
การเป็นนักวางแผนการเงินของผมส่วนหนึ่งก็เพื่อการสร้างเพื่อนในอนาคต ที่เราจะแก่และมีความสุขไปด้วยกัน รวมถึงการได้สร้างคุณค่าให้กับลูกค้าและผู้ใช้บริการ ที่เมื่อเขาได้ใช้แล้วจะรู้สึกขอบคุณผม และเปิดโอกาสให้ผมได้เป็นคนสำคัญในชีวิตของเขาเหล่านั้น เพราะปัญหาการเงินมันเป็นเรื่องของตัวเลขที่ตรงไปตรงมาหาทางออกได้ง่าย แต่กลับแก้ไขได้ยาก เพราะมันเป็นเรื่องของวินัยและทัศนคติทางการเงิน รวมถึงสังคมและคนรอบตัวอีกด้วย แล้วผมก็หวังว่าวันหนึ่งผมจะสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยคนที่รับผิดชอบตัวเองได้ มาใช้ชีวิตร่วมกันในหลาย ๆ ด้านของชีวิตโดยที่ไม่มีปัญหาเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง
My Journey From Corporate Stability to Becoming a Financial Planner Many of my friends have questioned my decision to leave a stable job at a publicly listed company — with good benefits and a comfortable lifestyle — to become my own boss and work as a freelancer in a profession most people either dislike or even find annoying. Yes, I chose to become a financial planner, which to many sounds like just another name for a life insurance salesperson.
Before I explain why, let me take you back to the experiences that shaped this choice.
At my old company, I felt secure and respected. I was doing work I was good at, and over time I built a comfortable zone for myself. I had access to privileges reserved for “stable” employees — things like cooperative loans and the ability to secure a mortgage. But later I realized these weren’t really privileges at all. They were simply guarantees that I would remain a good debtor, bound to my employer so I could repay what I owed. That realization hit me when I started imagining a different kind of life.
Job security would have been great if it also aligned with my life goals. But for me, it became a cage. Security mixed with debt felt like a financial prison, holding me back from pursuing what I truly wanted. If I had given up, I would have remained a small cog in the machine, waiting until the day the company no longer needed me. But I’ve always been stubborn. I wanted to break free, to follow my own path. It wasn’t easy — not something I could plan and execute within a year. It took years of patience because that so-called stability had already slowed me down.
When I had managed to save a small sum, my wife needed to spend a year in Seattle for her research. I knew that money was supposed to support me while finding a new job in Bangkok, but I also wanted to stretch it long enough to raise our child. That became my second financial plan: calculating the cost of living in the U.S. for the both of us. Unlike my first plan, which was just about paying off debt and saving, this plan was about using money to buy life choices. And it gave us one of the best years of our lives — a year we knew would eventually end, but one that added priceless value to our timeline.
During that year, we met a CFP with over 30 years of experience. What struck me most was that he rarely talked about money. Instead, our conversations centered on life goals, values, and dreams. Numbers were almost secondary. What inspired me most wasn’t what I learned from him, but what I saw in his life: he was surrounded by people who loved and respected him. It made sense — he had spent decades helping others live better lives.
Back in Thailand, I realized we don’t really have financial planners in that same sense. Here, financial planning is mostly a cover for selling insurance. And I believe the reason is simple: there’s no real structure that allows financial planners to thrive. Most people don’t want to pay for advice, yet they expect financial planning services for free. That gap left room only for agents and brokers who earn through commissions.
That’s why I started my new career with a clear mission: to build a kind of financial planning that matches what I experienced abroad, but tailored to Thailand and the younger generation. I wanted to be a thinking partner in people’s lives, helping them solve problems where money is just one of the tools. From my own journey, I wanted to pass on the empowering feeling of being the true owner — the master — of your money. I wanted to show people how to plan and live a life they actually want, without being controlled by financial stress.
This is what led me to create the Financial Freedom Canvas. I asked myself: What if we planned finances by talking less about money and more about life? The Canvas is my answer — a tool that requires only minimal financial data but still reveals a clear picture of how your life and money align.
I’m not promising to make everyone rich or to hand them their dream life through the Canvas. What it offers is a way to maximize the value of the life you want, based on your own choices and priorities. And yes, if someone’s desires are unrealistic, no financial tool can save them. But at least, with the Canvas, they’ll see it clearly on paper before it’s too late.
For me, being a financial planner isn’t just a career. It’s about building friendships for the future, growing old with people who feel secure and happy, and creating value that clients will thank me for. Because money problems are rarely about numbers — they’re about discipline, mindset, and the influence of people around us. My hope is to one day build a community full of people who take responsibility for themselves, so we can all live richer, freer lives together — without money standing in the way.



Comments