Passive Income ศัตรูของ ดอกเบี้ยทบต้น
- Chetprathan Thonglert
- Sep 20
- 1 min read
เมื่อพูดถึงการลงทุน ผมมักจะคิดถึงความรวยอยู่เสมอ การมีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ มีรถหรูขับ และมีบ้านหลังใหญ่ สาเหตุที่ทำให้ผมคิดถึงภาพเหล่านี้ อาจเป็นเพราะว่าเมื่อตอนผมเป็นเด็ก ผมมักจะได้ยินผู้ใหญ่พูดคำว่า “คนจนเล่นหวย และคนรวยเล่นหุ้น” และประโยคนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมคิดถึงความรวยทุกครั้งเมื่อพูดถึงการลงทุน
แต่เมื่อผมโตมา ผลตอบแทนกลับไม่ได้หาได้ง่ายเหมือนในอดีต จึงเป็นโอกาสที่ทำให้ผมได้มานั่งคำนวณเพื่อหาผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งการคำนวณของผมก็จะเป็นการคำนวณตามรูปแบบของการบริหารเงินในรูปแบบนั้น ๆ และวันนี้ผมก็จะมาพูดถึงสิ่งที่หลายคนอยากได้จากการลงทุนและนั่นก็คือการมี “Passive Income” ผมได้ยินคำนี้อยู่บ่อยครั้ง และได้ยินจากเพื่อนแทบทุกกลุ่มเลยก็ว่าได้ หลังจากที่มีกระแสการพูดถึงหนังสือ พ่อรวยสอนลูก จากผู้เขียน โรเบิร์ต คิโยซากิ
การมี Passive Income ผมถือว่าเป็นเรื่องดีมาก ๆ เพราะผมรู้สึกว่าเป็นการได้เงินมาโดยใช้เวลาชีวิตที่น้อยกว่า และการมี Passive Income เพียงน้อยนิดก็สามารถช่วยผ่อนแรงการทำงานของผมได้บ้าง และถ้าผมมี Passive Income ที่มากกว่ารายจ่าย ผมก็คงไม่ต้องทำงานไปตลอดทั้งชีวิตก็ได้ แต่ไม่นานความฝันของผมก็ได้สลายไป เมื่อผมมานั่งคำนวณตัวเลขว่าผมจะต้องมีเงินทำงานให้ผมเท่าไหร่ ถึงจะทำให้ผมมี Passive Income ในแบบที่ต้องการได้
ถ้าผมต้องการใช้เงินเดือนละ 100,000 บาท ผมก็จะต้องการเงิน 1,200,000 บาทต่อปี และจำนวนนี้ต้องมาจากผลตอบแทนประมาณ 2% เพราะผมต้องการนำเงินไปวางไว้ในจุดที่ได้ผลตอบแทน 5% เพื่อให้ส่วนต่าง 3% ยังกลับไปช่วยเงินต้นทำงานสู้เงินเฟ้อให้เราในปีถัดไป แล้วตัวเลขที่ผมได้ก็คือเงินต้น 60 ล้านบาท ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องยากมากสำหรับผมที่เป็นเพียงพนักงานธรรมดาของบริษัทเอกชน
ผมรู้สึกว่าการมีรายรับจาก Passive Income เพียงอย่างเดียวนั้นเกิดขึ้นได้ยากกับสถานะทางการเงินแบบผม ผมจึงลองหาวิธีการจัดการเงินที่เหมาะสมมากกว่า และได้ไปเจอเข้ากับคำว่า “ดอกเบี้ยทบต้น” ถ้าใครยังไม่รู้จักดอกเบี้ยทบต้น ผมจะอธิบายสั้น ๆ ว่า มันคือการนำผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในปีนี้กลับเข้าไปลงทุนเพิ่ม เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากกว่าในปีถัดไป และก็ทำแบบนี้วนไปเรื่อย ๆ แบบไม่นำเงินออกมาใช้จนเงินเริ่มโตไวขึ้น และเมื่อผมเปรียบเทียบผลลัพธ์อีกหลายปีข้างหน้า ก็พบว่าเงินส่วนใหญ่นั้นเกิดจากการนำดอกเบี้ยกลับเข้าไปลงทุน และอาจมีมากกว่าเงินต้นของเราด้วย

จุดสังเกตก็คือ ถ้าวันนี้ผมมีเงินไม่มากพอ แต่ผมอยากได้รายรับจากการลงทุนมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ก็จะทำให้ไม่มีเงินจากผลตอบแทนกลับไปลงทุนเพิ่มในปีถัดไป ท้ายที่สุดผมเมื่อรายจ่ายผมเพิ่มขึ้นก็จะได้ผลตอบแทนที่น้อยลง ซึ่งนั่นอาจหมายถึงการถอนเงินต้นมาใช้ในบั้นปลายชีวิต และมีโอกาสทำให้เงินต้นหมดลงไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราควรรู้ตัวเลขของตัวเองว่า ควรสะสมเงินให้ได้มากเท่าไหร่โดยใช้พลังของดอกเบี้ยทบต้น และเมื่อมีมากพอแล้ว เราจึงจะใช้ชีวิตจากการมี Passive Income ได้ภายหลัง
ถ้าคุณเริ่มอยากรู้ตัวเลขของตัวเอง ผมแนะนำให้เริ่มจากการวางแผนรายจ่าย หรือการออกแบบวงเงินรายจ่าย เพื่อให้รู้ว่าแต่ละปีใช้เงินประมาณเท่าไหร่ และตัวเลขนั้นจะเป็นพื้นฐานให้เรานำไปวางแผนต่อได้อย่างแม่นยำ เพราะในโลกของการบริหารเงินส่วนบุคคล คุณไม่ได้มีคู่แข่งเป็นเพื่อนร่วมงานในบริษัท หรือคนที่ชอบโพสต์ไลฟ์สไตล์บน Facebook แต่คู่แข่งที่สำคัญที่สุดของการเงินเราก็คือ “ตัวเราเอง” ที่กำลังจ่ายเงินออกไป และยิ่งเราจ่ายมากเท่าไหร่ เราก็จะต้องสร้างเงินต้นในการสร้าง Passive Income มากขึ้นเท่านั้น
การวางแผนการเงินที่ดีจะทำให้คุณเห็นภาพชัดเจนว่า แผนไหนควรสำเร็จเมื่อไหร่ และต้องทำอะไรบ้างในแต่ละปี การวางแผนอย่างเป็นระบบนี้จะทำให้เรารู้ว่าเรากำลังออมไปเพื่ออะไร เป้าหมายของเรามีคุณค่ามากพอที่จะทำให้เรายอมชะลอการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือไม่ เพราะบนเส้นทางของการสร้างความมั่งคั่ง เรามักจะต้องเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต และหากเรามีเงินไม่มากพอที่จะทำให้ทุกเป้าหมายเป็นจริง เราอาจต้องตัดเป้าหมายที่สำคัญน้อยกว่าออก เพื่อรักษาเป้าหมายที่สำคัญกว่าไว้
แต่เมื่อคุณได้ลองวางแผนการเงินให้เร็วขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย คุณก็จะพบว่าเป้าหมายในแผนนั้นมีโอกาสเป็นจริงได้มากกว่าเดิม และนั่นก็คือพลังของการให้เงินทำงานแทนคุณในระยะเวลาที่มากพอ แต่ถ้าคุณยังไม่เริ่ม เวลาที่ดีที่สุดที่จะให้เงินทำงานให้คุณให้นานที่สุดก็คือ “การเริ่มตอนนี้”

Comments