พื้นฐานการเงินที่มีแล้ว จะได้ประโยชน์จากการฟัง Influencer
- Chetprathan Thonglert
- Sep 20
- 1 min read

การเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทำให้ใครก็ตามสามารถก้าวเข้ามาสร้างพื้นที่ของตนเองได้อย่างง่ายดาย คนทั่วไปจึงมีโอกาสเลือกติดตามเฉพาะเนื้อหาที่สนใจ จากผู้คนที่ตนเองสนใจ โดยไม่จำกัดว่าเขาจะอยู่มุมใดของโลก ขอเพียงมีอินเทอร์เน็ตเป็นสะพานเชื่อม ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลและข่าวสารได้ทันที ความสะดวกนี้เองที่ทำให้ผู้มีผู้ติดตามจำนวนมาก กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางการสื่อสาร สามารถชี้นำความคิดของผู้ติดตามได้อย่างง่ายดาย และปรากฏการณ์นี้ได้ส่งผลต่อโลกการเงินเช่นเดียวกัน
ทุกวันนี้มีอินฟลูเอนเซอร์มากมายที่พูดเรื่องการเงินบนแทบทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่ละคนต่างมีเป้าหมายและแรงจูงใจของตนเอง วันนี้เราไม่ได้จะมาวิเคราะห์ว่าพวกเขามีเป้าหมายอะไรอยู่เบื้องหลัง แต่จะพาทุกคนมาเตรียมความพร้อมด้าน “ความรู้พื้นฐานทางการเงิน” ที่ควรรู้และเข้าใจ ก่อนจะนำสิ่งที่ฟังจากอินฟลูเอนเซอร์ไปปฏิบัติตาม เพราะหากขาดความเข้าใจ ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจไม่ใช่โอกาส แต่กลายเป็นความเสียหายทางการเงินโดยไม่รู้ตัว
ความเข้าใจที่กล่าวถึงนี้ ไม่ได้หมายถึงการเข้าใจเฉพาะสิ่งที่ถูกนำเสนอ แต่หมายถึงการเข้าใจโลกการเงินในเรื่องพื้นฐานเท่านั้น เพราะถ้าเป็น “สิ่งที่เราไม่รู้” เราไม่มีวันรู้เลยว่าเรากำลังถูกชี้นำไปยังทิศทางที่ผิด หรือจริง ๆ แล้วอาจจะเป็นเพราะเราที่เข้าใจผิดเอง จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เราต้องสูญเสียเงินไป เพียงเพราะสิ่งที่ฟังมานั้นมันดูง่ายและมีผลตอบแทนที่ล่อตาล่อใจ
ผมก็คือคนหนึ่งที่มีความสนใจในเรื่องของการเงิน และมีความโชคดีที่ได้รู้จักโครงสร้างของการบริหารเงินส่วนบุคคลมาแล้วบ้าง ดังนั้นก่อนที่ผมจะทำตามสิ่งที่ใครพูดถึงเรื่องการเงิน ผมมักจะเลือกหันมามองสถานะการเงินของตนเองก่อน ว่าในตอนนี้สถานการณ์การเงินของตัวผมนั้นเป็นอย่างไร กำลังจะมีรายจ่ายช่วงไหนบ้างและต้องใช้เงินเท่าไร เพื่อให้เห็นภาพความพร้อมของการเงินที่แท้จริง ก่อนที่จะเลือกเครื่องมือมาบริหารจัดการเงินตามที่ได้รับฟังมา ฟังแล้วอาจจะดูซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นเรื่องที่เริ่มได้ง่ายมาก เพียงแค่สร้าง “วงเงินรายจ่าย” หรือที่เรียกว่าการทำ Budgeting
ช่วงแรก ผมอาศัยวินัยเพื่อจดทำบันทึกรายจ่ายในชีวิตประจำวัน แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินของตัวเอง ก่อนจะออกแบบเป็นวงเงินรายจ่าย แบ่งหมวดหมู่ตามการใช้ชีวิตจริงเพื่อให้ติดตามและวัดผลได้ง่ายขึ้น บางหมวดแยกย่อยเพื่อความละเอียด ขณะที่บางหมวดรวมกันเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ซึ่งการนำวงเงินแต่ละหมวดมารวมกันก็ทำได้ไม่ยาก ขอเพียงแค่แต่ละหมวดนั้นจะต้องเป็นหมวดที่มีลักษณะการใช้งานแบบเดียวกันก็พอ
วงเงินรายจ่ายส่วนใหญ่ใช้เพื่อ “จำกัดวงเงิน” เพื่อช่วยควบคุมเพดานการจ่าย เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าสังสรรค์ ผมจะตั้งวงเงินให้ใกล้เคียงกับค่าใช้จ่ายจริงตามที่ได้จดบันทึกไว้ เมื่อเริ่มทำได้ ผมก็กลับพบว่าการบริหารเงินกลายเป็นเรื่องง่ายและสนุก แต่เมื่อทำไปซักช่วงระยะเวลาหนึ่งก็พบว่าการบังคับตนเองใช้เงินเท่าเดิมทุกเดือนกลับน่าเบื่อ แต่ผมก็รู้เช่นกันว่า ไม่ว่าอย่างไรผมต้องทำมันไปตลอดชีวิตเพราะมันเป็นเรื่องที่สำคัญที่ทำให้ผมบริหารเงินได้อย่างมั่นใจ ผมจึงได้ลองเพิ่มวงเงินอีกประเภท คือ “เผื่อเหลือเผื่อขาด” เพื่อใช้ปรับสมดุล เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับชีวิตมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การตั้งวงเงิน “ค่าอาหาร” ที่ถูกจำกัดวงเงินได้เดือนละ 6,000 บาท และมีวงเงิน “ค่าสังสรรค์” อยู่ที่ 2,000 บาทเพื่อนำมาตั้งเป็นหมวด “เผื่อเหลือเผื่อขาด” ให้แก่วงเงิน “ค่าอาหาร” และถ้าเดือนไหนผมใช้เงิน “ค่าอาหาร” มากเกินไป ผมก็สามารถลดจำนวนการไปสังสรรค์ลงได้ เพื่อให้มีเงินเหลือไปชดเชยให้แก่วงเงิน “ค่าอาหาร” ที่ใช้เกินมาได้
วงเงินอีกประเภทหนึ่งที่ผมเกือบมองข้าม แต่กลับสำคัญมาก คือ “วงเงินสำหรับเป้าหมายระยะสั้น” โดยใช้วิธีสะสมเงินก้อนเล็ก ๆ ทุกเดือน จนมีเพียงพอสำหรับเป้าหมายที่ต้องการ เช่น ค่าประกันรายปี ค่าเที่ยวต่างประเทศ หรืองานอดิเรกต่าง ๆ
เมื่อผมออกแบบวงเงินในแต่ละเดือนให้ครอบคลุมรายจ่ายตลอดทั้งปีแล้ว ผมค้นพบว่าตัวเองเข้าใจและเห็นภาพการเงินส่วนบุคคลของตนเองชัดเจนขึ้น รู้ว่ามีค่าใช้จ่ายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เท่าไร เหลือเงินใช้ชีวิตประมาณเท่าไร ต้องเก็บไว้สำหรับเป้าหมายใดบ้าง และที่สำคัญที่สุดคือ “เงินออมจริง ๆ มีเท่าไหร่” ซึ่งสามารถคำนวณได้ง่าย ๆ ด้วยสมการ: รายรับ – วงเงินทั้งหมด = เงินออม ด้วยข้อมูลวงเงินที่ใส่เข้าไปทำให้สมการที่เรียบง่ายนี้ กลับกลายเป็นสมการที่ทำให้ผมได้รู้จักตัวเองมากขึ้น มากซะจนทำให้ผมมีคำถามเมื่อผมมองไปที่วงเงินเหล่านั้นว่า ผมคนนี้กับเจ้าของวงเงินเหล่านั้นคือคนคนเดียวกันจริง ๆ ใช่ไหม?
การตั้งวงเงินรายจ่ายนอกจากจะเป็นการทำให้ผมได้รู้จักตัวเองได้ดีขึ้นแล้ว ก็ยังเป็นการลดการตัดสินใจกับเรื่องที่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรกับรายรับทั้งหมดของผมดี และยังช่วยให้ผมมีจุดให้โฟกัสในการใช้เงินอย่างเหมาะสมกับแต่ละเรื่องของชีวิตได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น ผมอาจจะมีเงินในกระเป๋าหรือมีวงเงินบัตรเครดิตที่สามารถซื้อของชิ้นไหนก็ได้ในห้าง และถ้าผมรู้ว่าผมมีความสามารถซื้อของได้มากผมก็จะใช้เงินมากขึ้นตามไปด้วย และการทำแบบนั้นก็อาจจะทำให้ผมเผลอใช้เงินจากวงเงินอื่นโดยไม่ตั้งใจ และสุดท้ายผมก็จะต้องใช้เวลาชีวิตของผมเพื่อหาเงินมาจ่ายให้เรื่องสำคัญเหล่านั้นอยู่ดี
เมื่อผมมีวงเงินรายจ่าย ผมจะรู้สถานะทางการเงินของตนเองอยู่เสมอ และเมื่อมีโอกาสได้รับฟังมุมมองการบริหารเงินใหม่ๆจากเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ ผมก็มักจะกลับมามองที่วงเงินของผมก่อนแล้วจึงนำแนวคิดใหม่ๆเหล่านั้นมาลองวางแผนร่วมกันกับวงเงินแต่ละก้อนดู ว่าแนวคิดใหม่ๆเหล่านั้นจะมีประโยชน์กับการเงินของผมมากน้อยเพียงใดและมีเงื่อนไขอะไรที่เหมาะสมกับการบริหารวงเงินแต่ละก้อนของผมบ้าง การบริหารวงเงินรายจ่ายอย่างเหมาะสม เหมือนเป็นขั้นตอนแรกที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการนำเงินไปลงทุนและยังช่วยให้เครื่องมือทางการเงินต่างๆทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ผมมีคติประจำใจว่าไม่มีใครดูแลเงินของเราแทนเราได้นอกจากตัวเราเอง ดังนั้นทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นกับเงินของผม ผมล้วนเป็นคนรับผิดชอบเงินนั้นทั้งหมด 100% ไม่ว่าผมจะทำตามที่คนอื่นบอกให้ทำก็ตาม และด้วยความคิดนี้มันจึงทำให้ผมระมัดระวังกับเรื่องการใช้เงินเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการตัดสินใจใช้ให้เงินทำงานให้เรา
Comments